ภาวะช่องคลอดอักเสบ (Vaginitis)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

ช่องคลอดอักเสบหมายถึงอะไร?

ช่องคลอดอักเสบ (Vaginitis) หมายถึง การมีการอักเสบเกิดขึ้นที่ช่องคลอดสตรีทำให้เกิด มีสิ่ง/สารคัดหลั่งในช่องคลอดที่เรียกว่า “ตกขาว” ที่ผิดไปจากปกติเช่น เป็นสีเขียว สีเหลือง มีอาการคัน มีกลิ่นเหม็น หรือมีเลือดปน

”ตกขาว” ซึ่งตามปกติแล้ว ช่องคลอดจะมีตกขาวบ้างเล็กน้อย มีสีขาวขุ่นหรือเป็นเมือกใส ไม่ทำให้เกิดอาการคัน ไม่มีกลิ่นเหม็นผิดปกติ การที่มีตกขาวผิดปกติเป็นภาวะที่นำสตรีมาพบแพทย์ทางสูตินรีเวชมากที่สุด

ช่องคลอดอักเสบมีอาการอย่างไร?

ภาวะช่องคลอดอักเสบ

อาการช่องคลอดอักเสบที่พบบ่อยมีดังนี้คือ

1. ตกขาว มีสีผิดปกติเช่น เป็นสีเขียว สีเหลือง

2. ตกขาว มีกลิ่นเหม็น

3. อาจมีเลือดปนตกขาว

4. มีอาการคันช่องคลอด

5. แสบในช่องคลอดหรือรู้สึกไม่สบายในช่องคลอด

6. อาจมีเลือดออกขณะหรือหลังมีเพศสัมพันธ์

7. ปวดหน่วงท้องน้อย หากมีภาวะแทรกซ้อน/ผลข้างเคียงเกิดร่วมด้วยคือ มีการอักเสบลามขึ้นไปในมดลูก (เยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ) และในปีกมดลูก (ปีกมดลูกอักเสบ)

สาเหตุของช่องคลอดอักเสบมีอะไรบ้าง?

สาเหตุของช่องคลอดอักเสบที่พบได้บ่อยคือ

1. อักเสบจากการติดเชื้อ: ที่พบบ่อยเช่น

  • การอักเสบของช่องคลอดจากเชื้อรา (Candiasis)/เชื้อราในช่องคลอด
  • การอักเสบของช่องคลอดจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial vaginitis) เช่น จากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือช่องคลอดอักเสบชนิด Bacterial vaginosis
  • การอักเสบของช่องคลอดจากเชื้อพยาธิในช่องคลอด / การติดเชื้อทริโคโมแนส (Trichomoniasis)

2. การอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ: ที่พบบ่อยเช่น

  • ช่องคลอดอักเสบจากการขาดฮอร์โมนเพศหญิง (Atrophic vaginitis)
  • ช่องคลอดแพ้สารเคมี (Allergic vaginitis)
  • มีสิ่งแปลกปลอมในช่องคลอดเช่น จากสายของห่วงคุมกำเนิด

ใครมีปัจจัยเสี่ยงเกิดช่องคลอดอักเสบ?

ผู้มีปัจจัยเสี่ยงเกิดช่องคลอดอักเสบ เช่น

1. สตรีที่มีเพศสัมพันธ์

2. มีโรคที่มีโรคประจำตัวและมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายตำเช่น โรคเบาหวาน โรคเอดส์

3. การสวนล้างช่องคลอดบ่อยๆจะมีผลทำให้แบคทีเรียประจำถิ่นในช่องคลอดเกิดความไม่สมดุล ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงสภาวะกรด - ด่างในช่องคลอด ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อง่ายขึ้น

4. อายุ:

  • ในอายุที่น้อย มีเพศสัมพันธ์ถี่ก็ทำให้มีโอการติดเชื้อในช่องคลอดมากขึ้น
  • สำหรับในสตรีที่สูงอายุ ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายจะลดลงมีผลให้ผนังช่องคลอดบางลง แบคทีเรียประจำถิ่นในช่องคลอด (Lactobacilli) ลดลง ความเป็นกรดในช่องคลอดลดลงทำให้มีโอการติดเชื้อง่ายขึ้น

5. การใส่ห่วงคุมกำเนิดนานๆหรือใส่สิ่งแปลกปลอมเข้าไปในช่องคลอด

6. การรับประทานยาฆ่าเชื้อบ่อยๆจะมีผลต่อความสมดุลของแบคทีเรียและเชื้อราในช่องคลอดทำให้ติดเชื้อง่ายขึ้น

7. คู่นอนมีการติดเชื้อบริเวณอวัยวะสืบพันธ์ (โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์)

ควรพบแพทย์เมื่อไหร่?

ควรพบแพทย์/สูตินรีแพทย์/ไปโรงพยาบาลเสมอเมื่อมีอาการดังกล่าวในหัวข้อ อาการ เพราะช่องคลอดอักเสบ มีสาเหตุหลากหลาย การซื้อยาใช้เองจึงมักไม่ค่อยได้ผลเพราะไม่ตรงกับโรค

แพทย์วินิจฉัยช่องคลอดอักเสบอย่างไร?

แพทย์วินิจฉัยช่องคลอดอักเสบได้โดย

ก. ประวัติทางการแพทย์: จากอาการผู้ป่วยที่มีตกขาวปริมาณมากผิดปกติ สีของตกขาวเปลี่ยนเป็นเขียวหรือสีเหลือง บางครั้งมีกลิ่นเหม็น บางครั้งมีอาการคันช่องคลอดร่วมด้วย

ข. การตรวจร่างกาย: โดยทั่วไปไม่มีการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพ มักไม่มีไข้ ตรวจร่างกายภายนอกปกติ นอกจากมีการอักเสบของช่องเชิงกรานคือมดลูก (เยื่อบุมดลูกอักเสบ) และปีกมดลูก (ปีกมดลูกอักเสบ) ร่วมด้วย อาจทำให้มีไข้ได้

ค. การตรวจภายใน: ถือเป็นการตรวจที่จำเป็นมาก

  • ในกรณีที่มีการอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อ จะตรวจพบตกขาวปริมาณมากผิดปกติ มีกลิ่นเหม็น สีของตกขาวจะเปลี่ยนเป็นเขียวหรือสีเหลืองหรือสีเทา บางครั้งตกขาวข้นคล้ายตะกอนนมหรืออาจมีลักษณะเป็นฟองขึ้นอยู่กับว่าเกิดจากเชื้อสาเหตุใด ผนังช่องคลอดจะเป็นสีแดงมากขึ้น
  • ในกรณีที่มีการอักเสบจากการขาดฮอร์โมนเพศหญิงในสตรีสูงวัย ผนังช่องคลอดจะมีสีแดง เรียบ ไม่ค่อยมีรอยย่น (ปกติมีรอยย่น) เมื่อสัมผัสผนังช่องคลอดเลือดจะออกง่าย

ง. การตรวจทางห้องปฎิบัติการ: แพทย์จะป้ายตกขาวจากในช่องคลอดไปส่องตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์เพื่อหาสาเหตุของโรคเช่น เพื่อดูว่ามีโรคเชื้อรา, การติดเชื้อทริโคโมแนส (Trichomoniasis) หรือไม่

รักษาช่องคลอดอักเสบอย่างไร?

การรักษาช่องคลอดอักเสบขึ้นกับสาเหตุของโรค ทั่วไปมีแนวทางการรักษา เช่น

1. ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา/เชื้อราช่องคลอด:

  • กรณีที่มีอาการไม่มาก แพทย์จะให้ยาเหน็บช่องคลอดเช่น เหน็บยา Clotrimazole (100 มก./มิลลิกรัม) วันละ 1 เม็ดก่อนนอน นาน 6 วัน หากเป็น Clotrimazole 500 มก. เหน็บครั้งเดียว เม็ดเดียว ร่วมกับยาทา (ยาครีม) Clotrimazole หรือ Ketoconazole cream ทาบริเวณปากช่องคลอดที่คันวันละ 1 - 2 ครั้ง
  • หากมีอาการมาก แพทย์จะให้ยารับประทานร่วมด้วยเช่น ยา Ketoconazole ชนิดเม็ดรับ ประทาน (200 มก.) 2 เม็ดวันละ 1 ครั้งนาน 5 วัน, หรือยา Fluconazole ชนิดเม็ดรับประทาน(150 มก.) 1 เม็ดรับประทานครั้งเดียว, หรือยา Itraconazole ชนิดเม็ดรับประทาน 1 เม็ดวันละ 2 ครั้งนาน 2 วัน

2. ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อพยาธิ/การติดเชื้อทริโคโมแนส(Trichomoniasis): แพทย์จะให้รับประทานยาปฏิชีวะนะชื่อ Metronidazole (500 มก.) วันละ 2 ครั้งนาน 7 วัน และที่สำคัญคือ ต้องรักษาคู่นอนด้วยเสมอ

3. ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย: แพทย์จะให้รับประทานยาปฏิชีวนะ Metronidazole (500 มก.) วันละ 2 ครั้งนาน 7 วัน

4. ช่องคลอดอักเสบจากการขาดฮอร์โมนเพศหญิง: แพทย์จะให้ครีมฮอร์โมนเพศหญิง (Estrogen cream) สำหรับทาในช่องคลอด ซึ่งต้องใช้ในขนาดและในระยะเวลาที่แพทย์สั่งเท่านั้น

5. ช่องคลอดอักเสบจากการแพ้สารเคมีหรือน้ำยาสวนล้างช่องคลอด: การรักษาคือ ต้องหยุดการใช้สารนั้นๆ

ภาวะแทรกซ้อนของช่องคลอดอักเสบมีอะไรบ้าง?

การอักเสบของช่องคลอดพบมีภาวะแทรกซ้อน/ผลข้างเคียงที่รุนแรงได้น้อย ที่พบได้ เช่น

1. ทำให้มีโอกาสคลอดก่อนกำหนดได้ และทารกแรกคลอดมีน้ำหนักตัวน้อย หากมีการติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์

2. การติดเชื้อทริโคโมแนส (Trichomoniasis) เป็นการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อย่างหนึ่ง ทำให้มีโอกาสติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์) ชนิดอื่นร่วมด้วยมากขึ้นเช่น เชื้อราในช่องคลอด

ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อมีช่องคลอดอักเสบ?

การดูแลตนเองเมื่อมีช่องคลอดอักเสบ คือ

1. รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงด้วยการรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)

2. รักษาความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์

3. ไม่สวนล้างช่องคลอด

4. รับประทานยาหรือเหน็บยาในช่องคลอดให้ครบตามแพทย์แนะนำ

5. งดมีเพศสัมพันธ์จนกว่าช่องคลอดหายอักเสบ

6. เมื่อเป็นการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ต้องรักษาคู่นอนด้วย

7. พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามนัดเสมอ

ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?

ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อ

  • อาการต่างๆเลวลงเช่น ตกขาวมากขึ้น คันช่องคลอดมากขึ้น
  • มีอาการใหม่เกิดขึ้นเช่น มีแผลที่อวัยวะเพศ ปัสสาวะแสบ เบ่ง มีไข้
  • อาการที่หายไปแล้วกลับมาเป็นอีกเช่น ตกขาวมีกลิ่น สีผิดปกติ หรือกลับไปเหมือนก่อนรักษา
  • กังวลในอาการ

ช่องคลอดอักเสบกลับเป็นซ้ำได้หรือไม่? หายขาดหรือไม่?

การพยากรณ์โรค/ความรุนแรงของช่องคลอดอักเสบคือ เมื่อมีการอักเสบของช่องคลอดจากการติดเชื้อ สามารถกลับเป็นซ้ำได้เสมอ การรักษาที่ถูกต้องครบถ้วนทำให้โรคช่องคลอดอักเสบหายได้ แต่เมื่อได้รับเชื้อใหม่ก็ทำให้เกิดการอักเสบของช่องคลอดซ้ำได้อีก หรือในกรณีที่อักเสบจากการแพ้สารเคมีที่ใช้สวนล้างช่องคลอด เมื่อมีการใช้สารที่แพ้ก็ทำให้อาการกลับมาเป็นอีกได้

ป้องกันช่องคลอดอักเสบอย่างไร?

ป้องกันช่องคลอดอักเสบได้โดย

1. รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงด้วยการรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)

2. รักษาความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์

3. ไม่สวนล้างช่องคลอด ควรทำความสะอาดเฉพาะอวัยวะเพศภายนอกเท่านั้น

4. มีเพศสัมพันธ์โดยใช้ถุงยางอนามัยชาย

หากมีช่องคลอดอักเสบสามารถตั้งครรภ์ได้หรือไม่?

หากมีการอักเสบในช่องคลอด ควรรักษาให้หายก่อน ค่อยวางแผนการตั้งครรภ์ (อ่านเพิ่ม เติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง การวางแผนครอบครัว)

ช่องคลอดอักเสบมีผลต่อการตั้งครรภ์อย่างไรบ้าง?

ในกรณีที่มีภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า Bacterial vaginosis ในระหว่างตั้งครรภ์พบว่า ทำให้มีโอกาสที่จะมีการคลอดก่อนกำหนดสูงขึ้น และทารกแรกคลอดมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติ ดังนั้นแพทย์ต้องให้การรักษาตั้งแต่ตรวจพบ

บรรณานุกรม

  1. https://emedicine.medscape.com/article/257141-overview#showall[2021,Sept4]
  2. https://www.medscape.com/viewarticle/719257_2 [2021,Sept4]